ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

บ่นธรรม

๗ ก.ย. ๒๕๖๗

บ่นธรรม

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “วัดเป็นเขตอภัยทาน

กราบนมัสการหลวงพ่อ วัดเป็นเขตอภัยทาน เป็นสถานที่ให้ความร่มเย็น ลูกขออนุญาตไปทำบุญได้ไหมเจ้าคะ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ ถ้าเขียนว่าวัดเป็นเขตอภัยทาน วัดเป็นที่ทำทาน เราอยากไปทำบุญนะ วัดทั่วประเทศไทย วัดในเมืองไทยสี่หมื่นกว่าวัด ที่ไหนก็ได้ที่จะไปทำบุญทำกุศล ถ้ามันเป็นเขตอภัยทาน

ฉะนั้น โดยวัดทั่วไปเขาเขียนไว้เลย เป็นป้ายเลย ‘วัดเป็นเขตอภัยทาน’ เพื่อจะให้เป็นที่ปลอดภัยไง แต่ที่ปลอดภัยๆ เจ้าอาวาสหรือที่ต่างๆ เขาก็ไปทำเป็นตลาด เป็นที่จอดรถ มันก็ไปชักจูงเอาผลประโยชน์เข้ามา มันก็ไม่ร่มเย็นเป็นสุขหรอก

ฉะนั้นที่ว่า วัดเป็นเขตอภัยทาน

วัดตั้งสี่หมื่นกว่าวัด ทำไมต้องมาที่นี่ล่ะ ถ้าเป็นเขตอภัยทาน มันก็เป็นเขตอภัยทานโดยกฎโดยกติกา แต่คนที่รักษากฎรักษากติกานั้นเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขมันมีหรือไม่

ฉะนั้น ถ้าเป็นวัดของเรา วัดเป็นเขตอภัยทาน เราพูดทุกวันเวลาเราเทศน์น่ะวัดเป็นเขตอภัยทาน” แล้วเป็นเขตอภัยทานโดยข้อเท็จจริง

นี่ไง เวลาคนที่ฝึกหัดปฏิบัติ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตเป็นเขตที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำอยู่ ฐีติจิตเป็นที่อยู่ของอวิชชาพญามารมันอยู่ที่นั่น เห็นหรือเปล่า

วัดเป็นเขตอภัยทาน เป็นเขตอภัยทานไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระจำพรรษา นางวิสาขาเป็นผู้สร้างวัดนั้นให้ วิสุงคามสีมาเป็นที่บวชพระ มันเป็นเรื่องธรรมและวินัย เป็นเรื่องสมมุติบัญญัติ เป็นสิ่งที่ให้ประชาชนได้พึ่งพาอาศัย

คนที่มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราเป็นฆราวาส เวลาเป็นมนุษย์เราละจากความเป็นฆราวาสมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระมาอยู่ในวัดในวานั้นมันก็มีกติกา มีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัตินั้นน่ะมันเป็นเครื่องอยู่ของใจๆ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา จิตเป็นสัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ มันจะเข้าไปสู่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน

ฉะนั้น วัดที่ปฏิบัติๆ เขามีกฎเขามีกติกาของเขา ถ้ามีกฎกติกาของเขา เราเข้าไปวัดไปวานั้นเรามีขอบมีเขต เราก็ต้องยอมรับกฎกติกาอันนั้น ถ้ากฎกติกาอันนั้น เห็นไหม ขอบเขตแล้วเอ็งทำลาย

วัดเราเมื่อปีที่แล้วหรืออย่างไร ทางฝ่ายนู้นเขามารายงานว่ามันมีคนเข้ามายิงไก่ เราก็ให้เขาแจ้งไปทางสายตรวจ สายตรวจเขาไปจับ มันเข้ามายิงไก่

เขตอภัยทาน นี่เขตอภัยทานนะ มันเข้ามายิงไก่เลย ไก่ตายมันเอาไปทำอาหารมันน่ะ เพราะอะไร เพราะจิตใจของคนมันแตกต่างกัน คนที่เป็นธรรมๆ เขาเห็นแล้ว เห็นไหม วัด คนที่เขาเลี้ยงสัตว์เขาไปปล่อยวัดๆ แล้วมนุษย์นี่เขาว่าตัดหางปล่อยวัด เอามันไปบวชแล้วตัดหางมันเลย ปล่อยวัดให้วัดดูแลกันไป วัดเป็นเขตอภัยทาน

แต่ถ้าเป็นวัดปฏิบัตินะ เขามีขอบมีเขตของเขา แล้วเราไปแล้ว สิ่งที่สมมุติบัญญัติ กฎกติกา ธรรมและวินัยเป็นสมมุติบัญญัติ แต่เอาจริงเอาจังขึ้นมา วัดปฏิบัติเขาพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เขาจะเข้าไปสู่ขอบเขต เข้าไปสู่ในหัวใจของตน ภวาสวะ ภพ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาจะทำจิตใจของเขา เขาพยายามใช้วิปัสสนาญาณเพื่อชำระล้างกิเลสในหัวใจของเขา

ขอบเขตของแต่ละบุคคลนะ ขอบเขตของใจของตน แล้วใจของตน สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ

แล้วหมู่คณะมาทิ่มมาแทงกัน กฎกติกาเขาตั้งไว้แล้ว ห้าม ห้าม ห้ามทุกอย่าง แล้วเอ็งกระทำทุกอย่างที่ห้าม

แล้วบอกเลยนะ อยู่วัดอยู่วา เขาถึงเวลามีข้อวัตรปฏิบัติ บ่ายแล้วมีร้าน มีครัวที่ต้มน้ำ มีกาแฟเอาไว้ให้ดื่มให้กินเพื่อไปถือศีล ๘ ไง ก็ทำตามกติกาเขาสิ เขามีกติกาแล้วเอ็งก็จะล้มกติกาเขา เอ็งจะเอาความยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้วก็จะบอกว่าเป็นสิทธิ์วิเศษ เป็นผู้วิเศษ เป็นคนพิเศษ เอ็งทำอย่างนั้นกันได้อย่างไร

ถ้าเอ็งทำอย่างนั้น นั่นล่ะมันย่ำยีข้อวัตรปฏิบัติ เท่ากับเอ็งย่ำยีกติกาที่เจ้าอาวาส ที่หัวหน้าเป็นคนตั้งขึ้นมา แล้วเอ็งย่ำยีอย่างนั้นแล้วเอ็งว่าเป็นเขตอภัยทานๆ แต่เอ็งทำลายขอบเขต เอ็งทำลายกฎกติกาเพื่ออีโก้ เพื่อความยิ่งใหญ่ แล้วหลายๆ คนไล่ออกไป ๓๔ รอบแล้วนะ ๓ รอบ

รอบหนึ่งคนนะ คนที่จะฝึกหัดปฏิบัติ เวลาคนปฏิบัติหาครูหาอาจารย์แทบเป็นแทบตาย แล้วครูบาอาจารย์ที่ไว้วางใจได้จะหาได้ที่ไหน แล้วครูบาอาจารย์ที่ไว้ใจได้ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นได้ฝึกหัดปฏิบัติมาแล้ว

เราพูดทุกวัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านได้ฝึกหัดปฏิบัติเจียนอยู่เจียนตายตั้งแต่พรรษาแรก หลวงปู่มั่นปฏิบัติพรรษาแรก หลวงปู่เสาร์พาออกประพฤติปฏิบัติจนหลวงปู่มั่นตั้งตัวได้ พอหลวงปู่มั่นตั้งตัวได้ ทำสมาธิได้ ใช้สติปัญญา แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ต่างมีลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมา ท่านถึงได้แยกออกจากกัน หลวงปู่เสาร์ก็คุม ดูแลลูกศิษย์ลูกหาของท่าน หลวงปู่มั่นท่านก็ดูแลลูกศิษย์ลูกหาของท่าน

จากที่เริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานเจียนอยู่เจียนตาย แล้วฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาจนตั้งหลักของตัวเองขึ้นมาได้ แล้วก็คุ้มครองดูแลลูกศิษย์ลูกหาต่อเนื่องเป็นธรรมทายาทไป เป็นธรรมทายาทไป

แล้วเวลาหลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ เราอยู่กับท่าน เวลาระลึกถึงหลวงปู่มั่น เวลาพูดถึงหลวงปู่มั่น ท่านร้องไห้เลย น้ำตาไหล น้ำตาไหลแบบลูกผู้ชาย สุภาพบุรุษ กตัญญูกตเวที ระลึกถึงบุญถึงคุณ ระลึกถึงที่ท่านคุ้มครองหัวกบาล

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอก “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา เป่ากระหม่อมเรามา

คุ้มครองหัวกบาลดูแลมาตลอด เขากตัญญูว่าขนาดระลึกถึงยังน้ำตาไหล แต่วัดเราตั้งกติกาไว้มันก็ย่ำมันก็เหยียบ นี่แหละมันเย้ยหยัน ที่เอ็งทำหยามเหยียดกันนั่นน่ะ ที่เอ็งทำด้วยความสะใจ ในความรู้สึกกูมันหยามเหยียด มันดูแคลน มันดูแคลนข้อวัตรปฏิบัติ แล้วเอ็งจะปฏิบัติอะไรวะ กูไม่เชื่อ

จิตใจคนกระด้าง จิตใจคนพลุ่งพล่าน อหังการ ทำสมาธิ กูไม่เชื่อ กูไม่เชื่อ เพราะกูไม่เชื่อ แล้วอหังการเหยียบย่ำเย้ยหยัน แล้วทำลายคนที่เขาเป็นธรรม เขามาประพฤติปฏิบัติ เหยียบเขา เย้ยหยันเขา หมิ่นแคลนเขา โดยใต้ปีกของกู ว่ากูคุ้มครองดูแล

เจ็บไหม

ไอ้เรื่องเจ็บนี่มันเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่เรื่องธรรมนะ กูไม่เชื่อ

กูเชื่อว่า คนที่จะประพฤติปฏิบัติเขาอ่อนน้อมถ่อมตนดูแลรักษาใจของตน สติจะเท่าทันความคิด ความคิดอะไรที่มันพลุ่งพล่าน ที่มันเย้ยหยัน มันเหยียบย่ำเขา พยายามรั้งไว้ๆ สติรั้งไว้ ไม่เอาๆ สิ่งใดที่เป็นที่สงบสงัด สิ่งใดเป็นที่เพื่อประโยชน์กับจิตใจของตน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิทำจิตใจให้มันสงบเข้ามา มันมีความสุข มันกตัญญูกตเวที

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านไปบรรลุธรรมที่ไหน ท่านไปเห็นธรรมที่ไหน ท่านระลึกถึงที่นั่น ท่านกราบไหว้บูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์เลยเป็นต้นไม้สัญลักษณ์ในพระพุทธศาสนา

นี่เอ็งมาปฏิบัติ วัดเป็นเขตอภัยทาน มึงย่ำยีเขา มึงทำลายเขา คอยสอดคอยแทรกเขา เขาเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรมก็ไปยุไปแหย่เขา ไปสร้างแก๊งไปสร้างเป็นก๊วนขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้วก็ทิ่มตำกัน แล้วกูไล่ออกไปแล้ว เพื่อความสงบสุข เพื่อผู้ที่เป็นธรรม

เพราะได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วหาที่ประพฤติปฏิบัติหาวัดหาวาที่ไว้วางใจได้ วัดเป็นเขตอภัยทาน จะทำความผิดพลาดอย่างใดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาให้อภัย ให้อภัยเพราะอะไร

เพราะกิเลสมันขับดันในใจของตน แล้วใจของตนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะเท่าทันกิเลสของตนได้ มันก็จะทำความผิดพลาดโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การทำโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ให้อภัย การกระทำโดยกิเลสที่มันขับดันโดยที่เราไม่เท่าทันกิเลสแล้วขออภัย ก็ให้อภัย

แต่ตั้งใจทำลาย ห้ามแล้วห้ามอีก บอกแล้วบอกเล่า สั่งสอนแล้วสั่งสอนเล่า มันทั้งเย้ยหยัน ทั้งมองเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งมองเป็นเรื่องที่จะเอาชนะคะคาน สิ่งใดที่ห้ามมันก็จะทำ สิ่งใดที่ห้ามมันก็ใช้เล่ห์กลพยายามจะไปสร้างเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า มีศรัทธาอยากจะบำรุงศาสนา สร้างเป็นกลุ่มเป็นก้อนมาเพื่อจะมาคะคานกับกฎกติกา

เราเห็นมาตลอดนะ เราเห็นแล้วเศร้า เศร้าเพราะอะไร เพราะว่าเขาหมิ่นเหม่กับการสร้างเวรสร้างกรรม

หลวงตาพระมหาบัวท่านไปไหนท่านบอก ไปเอาหัวใจของคน ไปเอาหัวใจของคน

แล้วใจของคนที่มันหยาบมันหยามช้า เราก็ไม่ไปยุ่งกับมัน แล้วเวลาทำสิ่งใดไปแล้วก็มาติฉินนินทา ถึงเวลาก็จะมาขอขมาๆ

ใครจะมาขอขมา บอกไม่ต้อง เพราะกูให้อภัยตั้งแต่ต้น กูไม่เคยติดขัดข้องใจกับใครเลย แต่ไม่ให้เข้า

เพราะคนที่ใฝ่ดี คนที่อยากทำคุณงามความดีแล้วโดนย่ำยีโดนเหยียดหยาม คนทำความดีไง แล้วคนที่จะมาประพฤติปฏิบัติเจอเหตุการณ์อย่างนี้เขาจะปฏิบัติอย่างไร

เขาก็คงงงนะ คงสงสัย เมื่อกี้ไปกราบหลวงพ่อมา หลวงพ่อบอกว่าที่นี่เป็นวัดปฏิบัติ ให้ปฏิบัติด้วยความเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรมเต็มที่ได้เลย เวลามาปฏิบัติ ทำไมคนนั้นมาทิ่มทีหนึ่ง คนนี้มาตำทีหนึ่ง

หลวงพ่อบอกที่นี่เป็นเขตอภัยทาน ที่นี่เป็นที่ปลอดภัย แล้วมานั่งภาวนาเขาก็มากลั่นแกล้ง มานั่งภาวนาแล้วก็มีคนมาสร้างให้มีการกระทบกระเทือนกัน เฮ้ยหลวงพ่อพูดอย่างหนึ่งเว้ย เฮ้ยไอ้คนในวัดมันปฏิบัติไปอีกอย่างหนึ่งนี่หว่า เอ๊หลวงพ่อนี่ไม่จริง หลวงพ่อนี่

เขตอภัยทาน ฉะนั้น เขตอภัยทานมันเป็นเขตอภัยทาน แต่กิเลสมันไม่ไว้หน้าใครหรอก กิเลสมันไม่เคยไว้หน้าใครว่านี่เป็นเขตอภัยทานแล้วกิเลสมันจะสงบเสงี่ยม กิเลสบอกนี่มันเขตอภัยทานนะ เราอย่าไปรังแกเขา เราอย่าไปยุยงปลุกปั่นสร้างเป็นแก๊งขึ้นมา เป็นไลน์กลุ่มขึ้นมา ๓ กลุ่ม ๔ กลุ่มไง

แล้วก็ที่นี่เขาไม่ให้มีการเรี่ยไร ที่นี่เขาไม่ให้เบียดเบียนกัน เวลามาวัดก็เอาหัวใจมาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง ก็มาตั้งแก๊งเรี่ยไรปัจจัยแล้วจะไปทอดผ้าป่าที่วัดอื่น

เฮ้ยแล้ววัดพระสงบนี่มันไม่ต้องใช้ปัจจัยเลยหรือวะ มันสังเวชน่ะ มันขยะแขยง มันสะอิดสะเอียน อย่าเข้ามา อย่ามาตอบโต้

กลุ่มก้อนใดก็แล้วแต่ที่ให้ออกไปแล้ว เพราะไล่ออก ๓ รอบ ๔ รอบ ออกไปแล้วไปข้างหน้า สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด ประพฤติปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรมเจริญก้าวหน้าไปโดยอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล

เขตอภัยทาน วัดป่าสันติพุทธาราม บุคคลใดที่ไล่ออกไปแล้วห้ามกลับเข้ามาเด็ดขาด ถ้ากลับเข้ามาแสดงว่าศีลนี้มันเศร้าหมอง ศีลไง คือสัจจะ คือความจริงมันไม่มี ถ้าพูดคำไหนมันเป็นคำนั้น ตรงไปตรงมา ไม่ใช่โกงไปโกงมา

ตรงไปตรงมา มาก็ให้ปฏิบัติ มาก็ให้โอกาสเต็มที่แล้ว เตือนก็เตือนมา ๓ รอบ ๔ รอบ เตือนแล้วเตือนเล่า หัวเราะคิกคักๆ เวลาไปบอก “ไล่ออกนะ ทำผิดไล่ออกนะ” หัวเราะกันคิกคักๆ เลย

แล้วไล่ออก ๒ รอบ ๓ รอบ แล้วนี่ไง “หลวงพ่อ วัดเป็นเขตอภัยทาน เป็นสถานที่ให้ความร่มเย็น ลูกขออนุญาตไปทำบุญที่วัดได้ไหมเจ้าคะ

ไปเขตอภัยทานที่อื่นน่ะ ในประเทศไทยเยอะแยะเลย แล้วในประเทศไทยเขารอชาวพุทธ รอจิตใจผู้ที่เป็นบุญเป็นกุศลไปทำบุญวัดเขาเยอะแยะ เยอะแยะ ขอเชิญ ขอเชิญคุณท่านทั้งหลาย พวกนางฟ้านางสวรรค์ทั้งหลาย ขอเชิญไปเขตอภัยทานที่อื่นนะคะๆ ที่นี่ไม่ให้เข้ามานะคะๆ จบ

ถาม : เรื่อง “จับความว่างในอารมณ์

กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมพยายามปฏิบัติมาแบบลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด ขี้เกียจบ้าง ขยันบ้าง ฟังเทศน์ท่านอาจารย์ตอบปัญหาบ่อยๆ ช่วงหลังนี้ฟังท่านอาจารย์ขณะขับรถทำงานกลับบ้านเกือบทุกวัน

ก่อนคำถาม ขอเล่าเท้าความภาวนาครั้งก่อนครับ ช่วงเดือน ๑๐ ปลายปีนี้ผมนั่งสมาธิแล้วเกิดความสงบขึ้น รู้สึกสงบในหลายๆ วัน ระหว่างการทำงานก็มีใครมาคุยด้วย พุทโธก็มักจะวิ่งกลับมาในใจตลอด คือมันพยายามดึงจิตไว้ไม่ให้ไปไหน ซึ่งรู้สึกพอใจมากครับ

พอตกดึกก็จะเป็นช่วงนั่งภาวนา ปกติจะภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะสงบ แต่พอทำความสงบได้ เวลาเริ่มภาวนาผมก็จะกำหนดความรู้สึกสงบที่ใจเลย แล้วมันก็สงบทันทีหลังภาวนาไปได้จนออกครับ

จนมาเริ่มต้นทำสวนครัวกินเองแบบประหยัด มันต้องใช้ความคิดในการทำงาน และวันๆ ก็จะคิดแต่เรื่องทำสวนครัว จิตก็จะเริ่มออกห่างๆ ความสงบ ยิ่งเวลาเริ่มนั่งผมไม่สามารถกลับไปถึงความสงบในทันทีเหมือนเมื่อช่วงก่อนเลย เหมือนมันหาประตูเข้าไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องกลับมาพุทโธ ธัมโม สังโฆอีกเหมือนเดิมจนกว่าจะวางความคิดต่างๆ ที่มันฟุ้งซ่านรบกวนได้ กว่าจะวางความกังวล กว่าจะวางทุกข์ที่ไม่เหลือความสงบได้ ก็นานแล้วครับ

หลังจากที่ใช้คำภาวนาแบบเดิม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ความสงบก็เริ่มกลับมา แต่ยังไม่สงบเท่าแต่ก่อน ก็น่าจะมาจากภาระงานที่ทำเพิ่มขึ้นมาด้วย

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ผมได้ทำความผิดพลาดอะไรไปบ้าง หรือผิดขั้นตอนอะไรบ้าง ในความเห็นของตัวเองก็คิดว่า ความว่างสามารถเป็นอารมณ์หนึ่งได้เช่นเดียวกับการภาวนาอื่นๆ ดังนั้นทำไมเวลาผมจับอารมณ์สุขที่เกิดจากสมาธิ อารมณ์ที่มันฝังใจ เพื่อให้เกิดความสงบลึกๆ ไม่ได้เหรอครับ ทำไมมันเหมือนในช่วงแรกๆ แค่นั้นเอง พอหลังๆ มันเหมือนออกห่างจากความสงบไปทีละนิดๆ จนไม่เหลือ หรือเป็นเพราะภาระงานในการฟุ้งซ่าน มันติด มันสงสัยในใจอยู่ครับ กราบความเมตตาจากหลวงพ่อด้วย

ตอบ : การฝึกหัดภาวนา การฝึกหัดภาวนามันเป็นอำนาจวาสนาของมนุษย์ มนุษย์ที่มีอำนาจวาสนาไง หน้าที่การงานที่เราทำมาอาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งหมด เราว่าก็เป็นหน้าที่การงานของมนุษย์ หน้าที่การงานของมนุษย์นี้เป็นหน้าที่การงานของมนุษย์หาเครื่องดำรงชีวิต มนุษย์สิ่งมีชีวิตต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งมีชีวิต ปัจจัย ๔ สิ่งนี้เป็นความจำเป็นของชีวิต แล้วสิ่งมีความจำเป็นของชีวิตมันก็วัดกันโดยความสมบูรณ์และความขาดแคลน

ความสมบูรณ์ๆ คนที่สร้างบุญสร้างกุศลมานะ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมาคนที่เขาสร้างบุญกุศลมา แม้แต่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ขุนนางแก้ว ขุนคลังแก้ว ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ไปหมด แต่ถึงที่สุดแล้วพอใช้สอยไปแล้วมันก็ต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา คนเราเวลามันขาดแคลนๆ เพราะเราสร้างสมของเรามาอย่างนั้น

ย้อนกลับมาเรื่องการภาวนาๆ ไง เรื่องการภาวนาที่เราภาวนากันมันก็อยู่ที่เราศรัทธาความเชื่อ นี่ไง ศรัทธาความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ที่ชักนำให้เรามาศึกษาในพระพุทธศาสนา ถ้ามาศึกษาในพระพุทธศาสนา ใครมีอำนาจวาสนานะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ศึกษาพระพุทธศาสนาในภาคปริยัติ แล้วภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเท่านั้นที่จะเข้าสู่สัจจะความจริง

ฉะนั้น เวลาฝึกหัดปฏิบัติ เวลาปฏิบัติไปแล้วเดี๋ยวมันก็เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดา เวลาคำถามๆ “เมื่อก่อนผมภาวนาดียอดเยี่ยมๆ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านภาวนามาก่อน คนภาวนาเวลาภาวนาเจริญแล้วมันดีงามมาก เวลามันเสื่อมๆ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่ สิ่งใดเจริญสูงสุดแล้วมันก็ต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา เว้นไว้แต่อกุปปธรรม คือขณะนิโรธดับทุกข์ อันนั้นไม่มีการเจริญและไม่มีการเสื่อม อันนั้นมันของคงที่ตายตัวเพราะเป็นอกุปปธรรม เป็นวิหารธรรม

แต่เวลาผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นไปเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ของเรา เราไม่เข้าใจไง เราไม่เข้าใจว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นด้วยความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียร แล้วถ้ามีความเพียร ความเพียรมันต้องรักษา แล้วต้องดูแลรักษามันไว้ ถ้ารักษาไม่ได้มันก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา นี่ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สรรพสิ่งในโลกเป็นอนัตตาแน่นอน แน่นอน เป็นอนัตตาอยู่แล้ว

อกุปปธรรมพ้นจากอนัตตา พ้นจากอัตตาและอนัตตา เป็นอกุปปธรรม นั้นเป็นบุคคล ๔ คู่ในพระพุทธศาสนา

ฉะนั้น คำถาม คำถามที่อ่านมาทั้งหมดเพราะผู้ถามเข้าใจผิดเอง เข้าใจผิดว่าตัวเองทำแล้วมันจะอยู่กับตัวเองตลอดไป แล้วเวลามันเสื่อมไป เวลามันพลัดพรากจากไปแล้วก็บอกว่า เพราะเราสนใจในการทำสวนครัว ในการทำหาอาหารเพื่อดำรงชีวิต ก็เลยไปวิตกวิจารณ์ ไปใช้สติปัญญาเข้ากับการทำสวนครัว มันก็เป็นส่วน มันก็เป็นข้อเท็จจริง

ข้อเท็จจริงว่า เราก็ใช้สติปัญญากับการทำผักทำสวน ก็จริง ก็จริง แต่โดยข้อเท็จจริงที่เป็นจริงเลย สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นมันก็ต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา มันเสื่อมไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แล้วเรามาเข้าใจอะไรล่ะ

ฉะนั้นถึงบอกว่าผู้ถามเข้าใจผิด เข้าใจผิดว่าถ้าเราทำสิ่งใดแล้วมันจะอยู่กับเราคงที่ตายตัวตลอดไป ไม่มี เว้นไว้แต่อกุปปธรรม เว้นไว้แต่วิหารธรรมที่เป็นข้อเท็จจริงนั้น

ฉะนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แล้วว่ามันเจริญแล้วเสื่อม หนึ่ง

สอง การเข้าใจผิดว่าอารมณ์ความว่างนั้นว่าเป็นคำบริกรรมได้ ว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะ

ว่างๆ มันเริ่มต้นตั้งแต่บอกว่า เราทำความสงบของใจก็เพื่อใจสงบ ใจสงบมันสงบอย่างไร มันวางหมดแต่มันไม่ใช่ว่างแบบไม่มีสติปัญญา มันว่างจากอารมณ์แต่ตัวมันมีสติสัมปชัญญะ

แต่นี้เราไปตั้งว่าอารมณ์ว่างแล้วกำหนดว่าง ว่างอยู่อย่างนั้นน่ะ

กำหนดรู้ต่างหาก รู้ว่างน่ะ

ว่างเป็นอารมณ์ ว่างนี่ใครรู้ว่าง ใครรู้ว่าว่าง ว่างเกิดจากใคร เราส่งไปที่ว่าง แล้วรู้กูไปไหนล่ะ ก็กูไปรู้ว่างนู่นไง กูไปรู้ว่าง แต่คนภาวนาไม่เป็นนะ

เขาพุทโธๆ อยู่กับพุทโธ ถ้าว่าง ตัวมันว่าง ว่างโดยสติสัมปชัญญะ ว่างโดยการควบคุมดูแลที่สมบูรณ์แบบ สติสัมปชัญญะอยู่กับผู้รู้ นั่นน่ะสมาธิ ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ เลย

ไอ้นี่ไปกำหนดว่าง เห็นไหม

สอง เข้าใจผิดตั้งแต่ต้นว่ามันเคยได้ แล้วมันจะอยู่กับเราตลอดไป

ไม่ใช่ เจริญแล้วเสื่อม เพราะเจริญแล้วเสื่อมเขาถึงรักษา เขาถึงมีข้อวัตรปฏิบัติ เขาถึงไม่ปล่อยปละละเลยไง เขาไม่ปล่อยเละเทะ

เริ่มต้นก็ว่าดีๆ พอดีๆ แล้วตายใจ เกลี้ยงเลย ไม่เหลือ พอไม่เหลือนะ ไม่เหลือมันเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ

ถ้าสัมมาทิฏฐิ อืมมันเจริญแล้วเสื่อม เราต้องฟื้นฟู เราต้องพยายาม นี้เป็นสัมมาทิฏฐิ

มิจฉาทิฏฐิ มันเสื่อมไปแล้ว แต่สัญญาจำได้ว่างๆ กำหนดว่างอยู่นั่นน่ะ แล้วเอ็งก็ย่ำอยู่ว่างๆ โดยความว่างเปล่า โดยความไม่มีเนื้อหาสาระ นี้คือความเข้าใจผิด

เข้าใจผิดตั้งแต่ต้นว่า เกิดแล้วจะไม่เสื่อม

เสื่อม

เข้าใจผิดว่า อารมณ์ว่างเป็นคำบริกรรมได้ แล้วกำหนดว่างตลอด

กำหนดอย่างไร กำหนดมันไม่กลับมาเหมือนเดิมไง นี่คำถามไง มันไม่เห็นเหมือนเดิมเลย มันไม่เห็นเหมือนตอนที่มันเป็นจริง

อ้าวของจริงมันเป็นของจริงเว้ย ของจำมันก็เป็นอย่างที่เอ็งจำนี่แหละ แต่เดิมปฏิบัติ เพราะไม่รู้ไง ทำตามข้อเท็จจริงมันก็เป็นความจริงไง ของจริงมันก็ โอ้โฮสุขสงบไง

ของจำ ว่างๆ กำหนดว่าง แล้วมันไม่เหมือนเดิมเลย

ไม่เหมือน เพราะมันเป็นของจำ

เข้าใจผิดสองข้อ วางให้หมด แล้วฝึกหัดปฏิบัติใหม่ คำว่า “ฝึกหัดปฏิบัติใหม่” ไม่ใช่ทำใหม่นะ ฝึกหัดปฏิบัติใหม่คือตั้งโจทย์ใหม่ คือข้อมูลทำให้เป็นข้อเท็จจริง

ไอ้ที่ทำมาแล้วคือทำมาแล้ว อดีตอนาคตมันเป็นอดีตและเป็นอนาคต ปัจจุบันนี้ไง อดีตก็ทำมาแล้ว ถูกก็ถูกมาแล้ว ผิดก็ผิดมาแล้ว อนาคตยังไม่เกิดขึ้นแล้วก็จินตนาการไปจนทุกข์จนยาก

อดีตอนาคตเป็นเรื่องของอดีตอนาคต ปัจจุบันทำให้มันถูกต้องชอบธรรม ถูกต้องชอบธรรมคือมันสุขสงบจริง สมาธิเป็นสมาธิ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาจะเป็นปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้ง

แล้วถ้ารู้แจ้งแล้วนะ เหมือนที่เราพูดนี่ ถ้ารู้แจ้งรู้อย่างนี้หมดเลย เออกูโง่เองไง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่กูเข้าใจผิดแล้วกูเห็นผิด แล้วกูจะต้องให้มันเหมือนที่กูพอใจ ก็ทุกข์ไป

แต่ถ้าเข้าใจอย่างที่พูดนี่ ถ้าเป็นความจริง เหมือนที่พูดนี่ เป็นอย่างนี้เลย แล้วถ้าเป็นอย่างนี้แล้วนะ มันก็เป็นข้อเท็จจริงใช่ไหม ถ้าข้อเท็จจริง เราก็อยู่กับความจริง แล้วสร้างขึ้นมาให้เป็นความถูกต้องชอบธรรมก็จบ จบ

ถาม : เรื่อง “รู้รูปนามรักษาใจ

เมื่อพิจารณาใจที่สงบ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกรู้ ให้พิจารณาเป็นธาตุรู้ ไม่คลายออกมายังธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ จึงย้ายจากไตรลักษณ์ (ขันธ์เงื่อนปลายมาพิจารณาที่เงื่อนต้น คือรู้รูปนาม สิ่งที่ถูกรู้ (รูปโดยเมื่อคลายตัวจะใช้คำบริกรรมเพื่อดูผู้รู้ที่จะไปรับอารมณ์ ใช้สติสัมปชัญญะกำกับ สลายหายไป จนพิจารณาใจเป็นธาตุ สงบยังฐาน โดยพิจารณาสิ่งถูกรู้เป็นผ้าขี้ริ้วบ้าง เป็นกองไฟบ้าง เป็นอุบายในใจสงบมั่นคงไม่คลายตัว

ของเมื่อไม่ดีจะหว่านทำไม ของเมื่อไม่ดีจะเก็บเกี่ยวทำไม ของร้อนก็ไม่เก็บเกี่ยว (อายตนะของไม่สะอาดก็ไม่หว่าน (ขันธ์มองสิ่งจอมปลอม ผ้าที่ไม่สะอาดมาชำระธาตุรู้ให้สะอาด รักษาใจดังช่างกรอ รักษาไม่ให้ช่างกลึงไปก่อปัญหา ช่างกลึงสงบก็วางเครื่องมือ

มารายงานพิจารณาการปฏิบัติ ยังไม่มีคำถาม

ตอบ : ไอ้นี่บ่นธรรมะไง มาพร่ำบ่นบ่นเพ้อเจ้อเลย ไม่มีคำถาม แต่บ่นธรรมให้ฟัง บ่นธรรม

ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิเราใช้สติปัญญาเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตน สิ่งใดเกิดขึ้น จิต ธาตุรู้ มันกระทบอารมณ์ต่างๆ กระทบความรู้สึกนึกคิด มีสติปัญญาเท่าทันมัน เห็นไหม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

ปัญญาอบรมสมาธิคือตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ธรรม ธรรมมันกลั่นมันกรองสิ่งที่เรารู้สึกนึกคิด สิ่งที่เรารู้เราเห็นมันจะเทียบเคียงกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ใช่ธาตุ ๔ ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ไม่ใช่อายตนะ มันไม่ใช่ไตรลักษณ์ นี่มันเทียบเคียงๆ ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้ามันพุทโธๆ ทำความสงบของใจเข้ามา

แต่ถ้ามันเป็นการบ่นธรรมะ เป็นพร่ำเพ้อละเมอ ละเมอไปๆ ละเมอไปเพราะอะไร ละเมอไปเพราะสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์

ถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นะ มันมีคำบริกรรม ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง จิตหนึ่ง

แต่ถ้ามันเสวยอารมณ์ๆ มันเสวย ความคิดทั้งหมดเป็นสมุทัย มันเป็นทุกข์ นี่มันพร่ำมันเพ้อ มันบ่นธรรมะ มันเพ้อเจ้อ

แต่มันอยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนมันหยาบมันละเอียดอย่างไรแล้วมันตามอารมณ์ความรู้สึกอันนั้นไป

แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมามันมีสติปัญญาของมัน มันหยุดของมัน ความคิดทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของมันเป็นทุกข์ ถ้ามันหยุดคิดๆ นี่ไง ถ้ามันหยุดได้ นี่ปัญญาอบรมสมาธิๆ มันไม่ใช่บ่นธรรมะ

มีสติปัญญามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ขาดสติ ขาดปัญญา มันเป็นบ่นธรรมะ บ่นธรรมๆ มันเป็นอายตนะ มันเป็นขันธ์ มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นนาม เป็นรูป เป็นนาม เป็นรูป เป็นรูป เป็นนาม มันจับผสมปนเปไง

เป็นรูป เป็นรูปก็เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นนาม เป็นนามเป็นความรู้สึก อ้าว!รูปกับนาม ถ้ามีสติปัญญาเท่าทัน จิตสงบแล้วมันจับได้ แล้วถ้าปัญญาอบรมสมาธิถ้ามันพิจารณาไปแล้วมันก็หยุด หยุดคือมันปล่อยวาง นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิไง

ถ้าไม่ใช่สมาธิ พอบอก บางทีเขากำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธๆๆ ถ้ามันบ่น บ่นธรรมะ บ่นจนเหนื่อย บ่นจนเมื่อยล้า มันก็มาพุทโธๆๆ

นี่มันไปบ่นธรรมไง “รู้รูป รู้นาม รักษาใจ

เราจะบอกว่า มันจะเป็นพวกอภิธรรม มันเป็นพวกที่ว่า ถ้าเป็นสมถะ สมถะมันแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องใช้ปัญญาๆ

ปัญญาที่เราใช้อยู่มันปัญญานามรูป ปัญญาเท่าทันไง มันก็เลยถ้ามันไม่มีสัมมาสมาธิ มันก็เป็นสิ่งที่ว่าโลกียะ เป็นเรื่องสมมุติบัญญัติ เรื่องโลก แล้วก็บ่นแล้วก็พร่ำเพ้อ พร่ำเพ้อว่าเป็นธรรม

มันอยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่ใจคนสูงคนต่ำ ถ้าใจของคนมันมีระดับนี้มันก็คิดของมันอย่างนี้ แล้วมันคิดอย่างนี้นะ มันก็ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นข้อเท็จจริง เป็นทางวิทยาศาสตร์คือมันมีตำรับตำรามันเปรียบเทียบของมัน

แต่ถ้าเป็นกรรมฐาน เป็นภาคปฏิบัติ อารมณ์ความรู้สึกของคนมันหลากหลายนัก อารมณ์ความรู้สึกของคนมันพรั่งพรูออกมาจากหัวใจ อารมณ์ความรู้สึกของคนมันโดนกิเลสครอบงำแล้วกิเลสมันกระพือ

ถ้ามันมีสติปัญญามันก็มีสติปัญญาเท่าทันกับอารมณ์นั้น อารมณ์ก็เทียบเคียงกับธรรมะๆ แล้วกิเลสมันไม่มีเหตุมีผล ธรรมะมันก็หยุด มันก็ปล่อยไง มันปล่อย มันหยุดแล้วมันก็เป็นสมาธิ เป็นสมถะ นี่เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง

ไม่ใช่บ่นธรรมพร่ำเพ้อธรรม “รู้เท่า รู้เท่านาม รู้เท่ารูป มันเป็นรูป มันเป็นนาม

กิเลสมันวิ่งไป ๕ รอบ กิเลสมันไปรอบจักรวาลมาแล้ว “มันเป็นรูป มันเป็นนาม มันจะเท่าทันอารมณ์”...โฮ้ถ้ามันเป็น มันเป็นการบ่นพร่ำเพ้อ เห็นไหม

ทีนี้เพียงแต่ว่าผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติมันมีวิธีการปฏิบัติแบบนี้ ถ้ามีวิธีการปฏิบัติแบบนี้มันก็อยู่ที่... เหมือนการศึกษา การศึกษาภาคบังคับ เดี๋ยวนี้ต้องสองภาษา เขาบอกเดี๋ยวนี้สองภาษาไม่พอแล้ว ต้องสามภาษา เอ็งจะเข้าโรงเรียน โรงเรียนประชาบาลหรือจะไปสองภาษา ตอนนี้จะไปสามภาษา

วิธีปฏิบัติไง วิธีของกลุ่มนั้น วิธีของชุมชนนั้น วิธีการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติมันเป็นวิธีการ เป็นเชิงวิชาการ แต่เด็กนักเรียนที่เข้าไปเรียน เด็กนักเรียนเข้าไปเรียนแต่ละโรงเรียน จิตของผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติมันเข้าไปในสังคมใด ไปฝึกหัดในวิธีการใด ถ้ามันมีอำนาจวาสนามันจะรู้เลยว่าวิธีการนั้นเราไปได้หรือไปไม่ได้ เข้ากับเราได้หรือเข้ากับเราไม่ได้ ปฏิบัติไปแล้วมันจะเป็นผลหรือไม่เป็นผล

คนที่มีวาสนาพอเข้าไปปฏิบัติมันรู้เลยว่าวิธีการนี้ไม่เหมาะสมกับเรา วิธีการนี้ไม่เหมาะสมกับการประพฤติปฏิบัติ

วิธีการที่จะเหมาะสมกับการประพฤติปฏิบัติ เราทำแล้วไม่มีความสงสัย เราทำแล้วมันเป็นปกติสุข เราทำแล้วจิตใจเบิกบานว่า เราจะเข้าถึงธรรมได้ เรามีโอกาส ทำแล้วมันชื่นบาน ทำแล้วมันตื่นตัว ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันตื่นตัว มันเบิกบาน

ไม่ใช่มาบ่นธรรมะไง “มันเป็นอายตนะ มันเป็นขันธ์ มันเป็นไตรลักษณ์” มันบ่นธรรมน่ะ ฉะนั้น ถ้ามีอำนาจวาสนาพอใจในการปฏิบัติแบบนี้ก็สาธุ

เพราะคำถามว่า “รายงานการปฏิบัติ ไม่มีคำถาม

ก็มีความพอใจกับการบ่นธรรมะ บ่นธรรมก็ให้บ่นธรรมเพื่อเป็นความสงบสุขถ้าเป็นไปได้ ถ้าบ่นธรรมๆ

บ่มธรรมเพื่อระบมเพื่อบ่มให้มันฟอนเฟะ มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ถ้าวาสนาดีงามไง บ่นธรรมๆ มันเป็นการท่องบ่น แล้วถ้าจะประพฤติปฏิบัติต้องให้เป็นข้อเท็จจริง แล้วถ้าเป็นข้อเท็จจริง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

กาลามสูตรๆ ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน และห้ามเชื่อปรากฏการณ์ประพฤติปฏิบัติของตนว่าถูกหรือผิด ต้องศึกษา ต้องค้นคว้า ต้องตรวจสอบ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น และผลปฏิบัติของตนก็ต้องพิจารณา ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อผลของการปฏิบัติของตน แต่การปฏิบัติของตนมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันถูกต้องชอบธรรมโดยธรรมะเป็นผู้ที่ขุดคุ้ยค้นคว้าหรือโดยกิเลสจูงไป กิเลสมันจูงไป กิเลสมันล่อมันหลอก เห็นไหม

กาลามสูตร ห้ามเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น จบ